การออกกำลังกายในยุคปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิ่งหรือเข้ายิมเหมือนในอดีต ซึ่งหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็คือ "พิลาทิส" (Pilates) โดยความนิยมที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะพิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งความแข็งแรงของร่างกาย ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตใจ ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าคนดังระดับโลก และแม้แต่นักกีฬามืออาชีพหลายคน ต่างก็เลือกให้พิลาทิสเป็นส่วนหนึ่งในกิจวัตรการดูแลร่างกาย
สำหรับใครที่กำลังสนใจการออกกำลังกายประเภทนี้ เรามาดูกันว่า พิลาทิสช่วยอะไร ควรเล่นตอนไหน และมือใหม่ควรเล่นอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
พิลาทิส พัฒนาขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย โจเซฟ พิลาทิส (Joseph Pilates) ผู้มีพื้นฐานจากทั้งโยคะ ยิมนาสติก และการฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาเริ่มพัฒนารูปแบบการออกกำลังกายนี้ในช่วงที่เขาทำหน้าที่เป็นพยาบาลดูแลทหารที่บาดเจ็บในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมาย ทั้งเรื่องอุปกรณ์การรักษาและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โจเซฟจึงคิดค้นการออกกำลังกายที่สามารถฟื้นฟูร่างกายได้โดยไม่ต้องใช้แรงกระแทกมาก แต่ยังคงช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราเรียกว่า “พิลาทิส” ในวันนี้
การฝึกพิลาทิสแตกต่างจากการออกกำลังกายทั่วไปตรงที่ ไม่เน้น “ออกแรงหนัก” แต่เน้น “ควบคุมการเคลื่อนไหว” โดยทุกท่าจะออกแบบให้สัมพันธ์กับการหายใจ ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล และการใช้กล้ามเนื้อแกนกลางเป็นหลัก แม้ดูเหมือนไม่เหนื่อยมาก แต่การฝึกแต่ละครั้งจะช่วยให้ร่างกายได้เรียนรู้การเคลื่อนไหวอย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยลดการใช้งานกล้ามเนื้อเกินจำเป็น และช่วยให้เราสามารถควบคุมส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
เหตุผลหนึ่งที่พิลาทิสเป็นที่นิยม เพราะเป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์คนที่อยากแข็งแรงแบบไม่ฝืนร่างกาย ซึ่งหลายคนเริ่มต้นด้วยความคิดที่ว่า อยากแก้อาการปวดหลัง ปวดคอ ที่เกิดจากการนั่งทำงานในท่าเดิมนาน ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ค้นพบว่า พิลาทิสสามารถช่วยได้มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ท่าทางในการเคลื่อนไหวร่างกายดูดีขึ้น ช่วยลดอาการบาดเจ็บเรื้อรัง หรือแม้แต่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและจิตใจสงบขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถปรับระดับความยากง่ายได้ตามความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่แล้ว พิลาทิสจึงกลายเป็นกิจกรรมที่หลายคนเลือกทำเป็นประจำ เพื่อดูแลร่างกายแบบยั่งยืนและเป็นมิตรกับตัวเอง
แม้พิลาทิสจะดูคล้ายกับการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือการยืดเหยียดทั่วไป แต่จริง ๆ แล้ว พิลาทิสมีพื้นฐานแนวคิดที่แตกต่าง และมีจุดประสงค์เฉพาะที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าเหมาะกับร่างกายตัวเองมากกว่า
พิลาทิส (Pilates) | โยคะ (Yoga) |
เน้นการควบคุมการเคลื่อนไหวและเสริมกล้ามเนื้อแกนกลาง | เน้นการฝึกสมาธิ ความสงบ และการเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ |
ใช้ท่าทางที่ต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความแข็งแรง | เน้นท่าทางที่ช่วยยืดกล้ามเนื้อ |
เน้นผลลัพธ์ทางร่างกายเป็นหลัก เช่น รูปร่าง กล้ามเนื้อ | เน้นผลลัพธ์ทางจิตใจ ความสงบ ความยืดหยุ่นทางอารมณ์ |
สิ่งที่ทำให้พิลาทิสได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือความรู้สึกว่าร่างกายได้รับการฟื้นฟูอย่างตรงจุด โดยเฉพาะคนที่ทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน จนมีอาการปวดหลัง คอ ไหล่ หรือเริ่มรู้สึกว่าร่างกายไม่สมดุล พิลาทิสสามารถช่วยปรับท่าทางให้ดีขึ้นได้จริง ด้วยการสร้างความแข็งแรงจากกล้ามเนื้อแกนกลาง โดยไม่เน้นแรงกระแทก
พิลาทิสสามารถฝึกได้ทั้งแบบบนเสื่อ (Mat Pilates) และแบบมีเครื่อง (Reformer Pilates) โดยมีอุปกรณ์ที่จำเป็นดังนี้
หนึ่งในเป้าหมายหลักของพิลาทิส คือการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลาง หรือกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง หลังส่วนล่าง และเชิงกราน ซึ่งการมีกล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรงนั้นมาพร้อมประโยชน์มากมาย
พิลาทิสไม่ได้ฝึกแค่กล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยให้เรารู้จักร่างกายตัวเองดีขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวอย่างมีสติจะช่วยแก้ไขท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น ไหล่ห่อ หลังค่อม หรือการเดินแบบเอียงสะโพกโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยจากการทำงาน โดยเฉพาะคนที่เผชิญกับกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
อีกจุดเด่นที่ทำให้พิลาทิสเป็นที่นิยมในวงการกายภาพบำบัด คือความอ่อนโยนต่อข้อต่อและกล้ามเนื้อ จึงสามารถนำมาใช้กับการฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บ หรืออาการเจ็บเรื้อรังได้
นอกจากผลทางกายภาพแล้ว พิลาทิสยังช่วยให้เรารู้สึกว่าได้เชื่อมโยงกับตัวเองมากขึ้น เพราะการหายใจอย่างมีจังหวะ ร่วมกับการเคลื่อนไหวที่เนิบช้า จะทำให้เรามีสมาธิอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี
การเลือกเวลาฝึกพิลาทิสสามารถปรับได้ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ซึ่งแต่ละช่วงเวลาก็มีข้อดีที่แตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเลือกเล่นพิลาทิสตอนไหน สิ่งที่สำคัญกว่าคือความสม่ำเสมอ เพราะไม่ว่าจะเช้าหรือเย็น ถ้าเลือกเวลาที่ไม่รบกวนตารางชีวิต ก็มีโอกาสที่จะฝึกได้ต่อเนื่อง และเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
การดูแลสุขภาพด้วยพิลาทิส เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว และสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต กรุงศรี เลดี้ ไทเทเนี่ยม บัตรเครดิตสำหรับผู้หญิง ไม่มีค่าธรรมเนียม ที่ช่วยให้การเริ่มต้นดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เพราะคุณสามารถแบ่งชำระค่าคอร์สพิลาทิส 0% นานถึง 4 เดือน ผ่านสิทธิพิเศษ LADY'S LIGHT PAY พร้อมรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 7% จากแบรนด์ชั้นนำด้านสุขภาพและความงาม ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเรียน อุปกรณ์ออกกำลังกาย หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่าง ๆ สมัครบัตรเครดิตเพื่อผู้หญิง ได้เลยวันนี้ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างสบายใจ
ข้อมูลอ้างอิง