สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หลายคนเลือกที่จะพก "บัตร" แทนการถือเงินสด เนื่องจากสะดวก ปลอดภัย และยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคือ "ควรใช้บัตร Travel Card หรือบัตรเครดิตดี ?" ซึ่งแท้จริงแล้ว ทั้งสองตัวเลือกนี้ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้น เราจะพาคุณไปวิเคราะห์แบบเจาะลึกถึงจุดเด่น ข้อจำกัด และความเหมาะสมของบัตรทั้งสองประเภท เพื่อให้คุณเลือกใช้ได้อย่างคุ้มค่าที่สุดในแต่ละทริป
รู้จักบัตร Travel Card
บัตร Travel Card หรือที่เรียกอีกชื่อว่า "บัตรเติมเงินสำหรับการเดินทาง" (Prepaid Travel Card) คือบัตรที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเติมเงินก่อนนำไปใช้ โดยสามารถเติมเป็นสกุลเงินต่างประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน หรือแม้แต่เงินบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละราย
จุดเด่นของบัตร Travel Card
- สามารถใช้งานได้เหมือนบัตรเครดิต/เดบิต ไม่ว่าจะเป็นการรูดซื้อของ ถอนเงิน และอื่น ๆ
- ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เนื่องจากใช้ได้เฉพาะเท่าที่เติมเข้าไปเท่านั้น
- อัตราแลกเปลี่ยนชัดเจน เพราะคุณจะได้อัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาที่เติมเงิน จึงไม่มีความผันผวนในช่วงที่ใช้จ่าย
- ปลอดภัยกว่าการพกเงินสด และไม่จำเป็นต้องผูกกับบัญชีหลัก
- เหมาะสำหรับทริปสั้น ๆ ทำให้ควบคุมงบได้ง่ายและไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกินตัว
ข้อจำกัดของบัตร Travel Card
- ต้องเติมเงินล่วงหน้า ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับบางคน
- มีค่าธรรมเนียมบางประเภท เช่น ค่าธรรมเนียมการออกบัตร รวมถึงค่าธรรมเนียมเมื่อถอนเงิน
- สิทธิพิเศษหรือ Reward มีน้อย เมื่อเทียบกับบัตรเครดิต ทำให้อาจเสียโอกาสสะสมแต้มหรือรับสิทธิประโยชน์
- ใช้ได้เฉพาะสกุลเงินที่รองรับ หากคุณวางแผนเดินทางไปหลายประเทศ อาจจำเป็นต้องเปิดใช้งานหลายสกุลเงิน
รู้จักบัตรเครดิตสำหรับใช้ต่างประเทศ
บัตรเครดิตสำหรับใช้ต่างประเทศ (Credit Card) คือบัตรที่ให้คุณรูดใช้จ่ายก่อนแล้วค่อยชำระเงินทีหลัง โดยได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเดินทาง ทั้งนี้เพราะไม่เพียงแค่ใช้งานง่าย แต่ยังมาพร้อมกับสิทธิพิเศษมากมายจากทั้งธนาคารและผู้ให้บริการ
จุดเด่นของบัตรเครดิตสำหรับใช้ต่างประเทศ
- สะดวก ไม่ต้องเติมเงินก่อน ทำให้คุณสามารถใช้จ่ายได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลเรื่องยอดเงินคงเหลือ
- อัตราแลกเปลี่ยนตามระบบ MasterCard / Visa ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรตที่ดีในระดับหนึ่ง
- ระบบ Reward หลากหลาย ทั้ง Cashback, Miles และแต้มสะสมที่สามารถแลกเป็นสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้
- เหมาะกับการจองตั๋ว จองโรงแรม หรือเช่ารถ เนื่องจากอาจได้รับส่วนลดพิเศษ และสามารถขอเงินคืน (Refund) ได้ในกรณีที่เปลี่ยนแผนการเดินทาง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เงินคืนจะกลับเข้าบัตรภายในระยะเวลา 0-45 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร
- มีระบบป้องกันความปลอดภัย และสามารถอายัดบัตรได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหา ช่วยเพิ่มความมั่นใจเมื่อต้องใช้จ่ายในต่างประเทศ
- เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อย เพราะยิ่งใช้มาก ยิ่งได้สิทธิประโยชน์มาก
ข้อจำกัดของบัตรเครดิตสำหรับใช้ต่างประเทศ
- มีค่าธรรมเนียมแปลงสกุลเงิน (Foreign Transaction Fee) ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1-3% ของยอดใช้จ่ายทั้งหมด
- อัตราแลกเปลี่ยนอาจไม่แน่นอน เนื่องจากขึ้นอยู่กับวันที่มีการตัดยอด ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้คุณได้เรตไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
เปรียบเทียบแบบชัด ๆ บัตร Travel Card VS บัตรเครดิตใช้ต่างประเทศ ต่างกันอย่างไร ?
คุณสมบัติ |
บัตร Travel Card |
บัตรเครดิตใช้ในต่างประเทศ |
การควบคุมค่าใช้จ่าย |
ใช้เท่าที่เติม |
ใช้ตามวงเงินในบัตร |
อัตราแลกเปลี่ยน |
ล็อกเรตได้ตอนเติมเงิน |
ขึ้นกับเรตวันใช้งาน |
ค่าธรรมเนียมต่างประเทศ |
มีบ้าง ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ |
โดยทั่วไป 1-3% |
สิทธิพิเศษ/Reward |
มีน้อย |
มีหลากหลาย เช่น Cashback, Miles |
ความสะดวก |
ต้องเติมเงิน |
ใช้จ่ายได้ทันที |
ความปลอดภัย |
ไม่ผูกบัญชีหลัก |
มีระบบป้องกัน สามารถอายัดบัตรได้ |
การใช้งานเฉพาะกิจ |
ดี เหมาะสำหรับทริปสั้น ๆ |
เหมาะกับผู้เดินทางบ่อย |
บัตร Travel Card VS บัตรเครดิต สถานการณ์ไหนควรใช้บัตรแบบใด ?
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น มาดูกันว่าในแต่ละสถานการณ์ บัตรประเภทไหนจะคุ้มค่าและเหมาะสมกว่ากัน
- เที่ยวระยะสั้น / ไปประเทศเดียว : เลือก Travel Card หรือบัตรเครดิตที่มีโปรโมชันพิเศษสำหรับการเดินทาง เนื่องจากช่วยให้คุณควบคุมงบประมาณได้ดี โดยคุณสามารถเติมเงินเท่าที่วางแผนจะใช้ ทำให้ไม่มีความเสี่ยงในการใช้จ่ายเกินวงเงินที่ตั้งไว้
- เที่ยวหลายประเทศ หรือทัวร์ยาว : เลือกบัตรเครดิตใช้ในต่างประเทศ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องกังวลกับการเปิดใช้งานหลายสกุลเงิน อีกทั้งยังสะดวกสำหรับการจองโรงแรมหรือตั๋วเครื่องบินระหว่างการเดินทาง
- ใช้รูดซื้อของเล็กน้อย เช่น ของฝาก ของกิน : เลือก Travel Card หรือบัตรเครดิตที่ไม่มีค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน เพราะปัจจุบันมีบัตรเครดิตหลายใบที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมการแปลงสกุลเงิน ทำให้คุณประหยัดได้มากกว่าสำหรับการใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ
- จองโรงแรม เช่ารถ : เลือกบัตรเครดิตใช้ในต่างประเทศ เนื่องจากผู้ให้บริการส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับ Travel Card และมักจะต้องการข้อมูลบัตรเครดิตเพื่อเป็นการค้ำประกัน
- ต้องการสะสมแต้ม แลกไมล์ หรือส่วนลดร้านค้า : เลือกบัตรเครดิตใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นสายสะสมไมล์เดินทาง เพราะทุกยอดใช้จ่ายจะสามารถนำไปแลกเป็นสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้
สำหรับคนที่สนใจบัตรเครดิตใช้ในต่างประเทศ ขอแนะนำบัตรเครดิต กรุงศรี ที่มีสิทธิประโยชน์ให้เลือกหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต กรุงศรี แพลทินัม ที่มีประกันอุบัติเหตุการเดินทางคุ้มครองสูงสุดถึง 6 ล้านบาท บัตรเครดิต กรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มอบสิทธิพิเศษทั้งการอัปเกรดชั้นโดยสารและบริการห้องรับรองที่สนามบินทั่วโลก บัตรเครดิต กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ ซิกเนเจอร์ ระดับสูงที่มาพร้อมบริการรถลิมูซีนส่วนตัว รวมถึงบัตรเครดิต กรุงศรี ซิกเนเจอร์ สำหรับผู้ที่เดินทางบ่อยด้วยสิทธิพิเศษบัตรเครดิต DragonPass Lounge เพื่อยกระดับประสบการณ์การเดินทางของคุณในทุกทริปให้เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ปลอดภัย และคุ้มค่าอย่างที่สุด สนใจข้อมูลเพิ่มเติมของบัตรเครดิต ธนาคารกรุงศรี สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://www.krungsricard.com/th/Product
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี
ข้อมูลอ้างอิง: