พูดคุยกับเราได้ที่

0 2646 3555

เทคนิคการเลือก iPad รุ่นไหนดี พร้อม 10 รุ่นน่าใช้ในปี 2025

เทคนิคการเลือก iPad รุ่นไหนดี พร้อม 10 รุ่นน่าใช้ในปี 2025
 
เทคนิคการเลือก iPad รุ่นไหนดี พร้อม 10 รุ่นน่าใช้ในปี 2025
 
 

ยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “iPad” อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์รุ่นพกพา นับแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2010 iPad ก็เป็นที่นิยมอย่างก้าวกระโดด ด้วยเหตุผลด้านการใช้งาน ที่พกพาได้สะดวก และตอบโจทย์ทุกการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป วาดภาพ หรือและการตัดต่อวิดีโอ ทำให้หลายคนสนใจเป็นเจ้าของ iPad สักเครื่อง แต่หากไม่รู้ว่าควรเลือก iPad รุ่นไหนดี ในบทความนี้มีคำตอบ

 

รุ่นย่อยของ iPad ในปัจจุบัน มีรุ่นอะไรบ้าง ?

หลังจากเปิดตัวไอแพดรุ่นที่ 1 ค่ายแอปเปิลก็ได้เปิดตัว iPad รุ่นต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น iPad, iPad Pro, iPad Air และ iPad mini ซึ่งแต่ละรุ่นก็มีสเปกที่แตกต่างกันดังต่อไปนี้

 

1. iPad รุ่นปกติ

เป็น iPad รุ่นมาตรฐาน เป็นแท็บเล็ตรุ่นเริ่มต้นของ Apple มีความคุ้มค่า ราคาไม่แพง (ถูกที่สุดในสินค้าประเภทแท็บเล็ตของ Apple) มีให้เลือกทั้งรุ่น Wi‑Fi และ Wi‑Fi + Cellular (รองรับ eSIM) เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน

 

2. iPad mini

เป็น iPad รุ่นที่ขนาดเล็กที่สุด มีขนาดกะทัดรัด แต่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากับรุ่นที่หน้าจอใหญ่กว่า ถูกใจคนที่ต้องการพกแท็บเล็ตไปใช้ระหว่างวัน เหมาะกับต้องนักเรียน ครีเอเตอร์ และผู้ใช้ทั่วไป

 

3. iPad Air

เป็น iPad ที่มีความบางเบา ขนาดหน้าจอใหญ่กว่า iPad mini แต่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับรุ่นปกติ มีฟีเจอร์ที่ครบครัน สามารถใช้ทำงาน เรียนออนไลน์ และชมความบันเทิงต่าง ๆ ได้ เหมาะกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่ใช้งานทั่วไป

 

4. iPad Pro

เป็น iPad รุ่นท็อปสุดของ Apple ออกแบบมาเพื่อมืออาชีพที่ต้องการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในเรื่องการประมวลผล กราฟิก และการแสดงผลหน้าจอ เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานตัดต่อ ภาพถ่าย กราฟิก และงานสร้างสรรค์ต่าง ๆ

 
iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6)
iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6)

 

10 รุ่น iPad ที่น่าสนใจ รุ่นไหนใช้ทำงาน เล่นเกม ตัดต่อวิดีโอเลือกเลย

สำหรับผู้ที่กำลังมองหา iPad แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกไอแพดรุ่นไหนดีไว้ใช้ทำงาน ตัดต่อวิดีโอ เล่นเกม หรือเรียนออนไลน์ แล้ว iPad Pro มีกี่รุ่นที่น่าสนใจ ไปดูกันเลย

 

1. iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว (ชิป M4)

iPad Pro รุ่น 13 นิ้ว รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับชิปทรงพลัง Apple M4 ซึ่งเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการทำงานและการประมวลผลกราฟิก หน้าจอขนาดใหญ่และคมชัดเหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดสูง ใครที่กำลังมองหา iPad สำหรับตัดต่อวิดีโอ แต่ไม่รู้ว่าจะรุ่นไหนดี รุ่นนี้คือคำตอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบกราฟิก การตัดต่อวิดีโอ หรือการเล่นเกมขั้นสูงก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาพร้อมกล้องคุณภาพสูงทั้งหน้าและหลัง รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina XDR ขนาด 13 นิ้ว
  • ชิป: Apple M4
  • กล้องหน้า: กล้อง TrueDepth ความละเอียด 12 MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Face ID
  • ขนาด: รุ่น Wi-Fi 281.6x215.5x5.1 มม.
  • น้ำหนัก: รุ่น Wi-Fi 582 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 128 GB, 256 GB, 512 GB, 1 TB และ 2 TB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C รองรับ Thunderbolt และ USB 4
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เงิน และสีดำสเปซแบล็ค
  • ราคา: รุ่น Wi‑Fi เริ่มต้นที่ 49,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store
 
iPad Pro 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M4)
iPad Pro 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M4)

 

2. iPad Pro 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M4)

iPad Pro 11 นิ้ว รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง แต่ต้องการความพกพาสะดวก ชิป Apple M4 ที่มาพร้อมกับการประมวลผลที่รวดเร็วและลื่นไหล รองรับการทำงานหนักทั้งงานเอกสาร การแก้ไขรูปภาพและวิดีโอ หรือการเล่นเกมที่ต้องการกราฟิกสูง

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 11 นิ้ว
  • ชิป: Apple M4
  • กล้องหน้า: กล้อง TrueDepth ความละเอียด 12 MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Face ID
  • ขนาด: 249.7x177.5x5.3 มม.
  • น้ำหนัก: 444 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 256 GB, 512 GB, 1 TB และ 2 TB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C รองรับ Thunderbolt และ USB 4
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เงิน และสีดำสเปซแบล็ค
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 37,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store
 
iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6)
iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6)

 

3. iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6)

มาเริ่มกันที่ iPad Pro 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 6) ที่มาพร้อมกับชิปทรงพลัง Apple M2 และ CPU 8-core ประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว มีหน้าจอใหญ่คมชัด ใครที่กำลังมองหา iPad สำหรับเล่นเกมรุ่นไหนดี ขอแนะนำรุ่นนี้ เพราะเหมาะสำหรับงานกราฟิก ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จับถนัดมือ กล้องหน้าและหลังคมชัด เก็บภาพสวยงามทุกมุมมอง

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina XDR ขนาด 12.9 นิ้ว
  • ชิป: Apple M2
  • กล้องหน้า: กล้อง TrueDepth ความละเอียด 12 MP / กล้องอัลตราไวด์ความละเอียด 12MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12MP / กล้องอัลตราไวด์ความละเอียด 10MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Face ID
  • ขนาด: 280x214.9x6.4 มม.
  • นํ้าหนัก: รุ่น Wifi 682 กรัม / รุ่น Wifi + Cellular 684 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 128 GB, 256 GB และ 512 GB สำหรับรุ่น RAM ขนาด 8 GB
    1 TB และ 2 TB สำหรับรุ่น RAM ขนาด 16 GB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt และ USB 4
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Smart Keyboard Folio, Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เงิน และสีเทาสเปซเกรย์
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 44,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store
 
iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 4)
iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 4)

 

4. iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 4)

สำหรับใครที่ชอบความกะทัดรัดแต่ยังต้องการประสิทธิภาพสูง iPad Pro 11 นิ้ว (รุ่นที่ 4) คือคำตอบที่เหมาะ ด้วยชิป M2 ที่ทรงพลังและหน้าจอความละเอียดสูง รองรับการสร้างสรรค์กราฟิกและงานตัดต่อได้อย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับ TikToker ที่ต้องการตัดคลิปในจังหวะเร่งด่วน แม้จะไม่ใช่ iPad Pro รุ่นล่าสุด แต่ก็มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการความคล่องตัว

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 11 นิ้ว
  • ชิป: Apple M2
  • กล้องหน้า: กล้อง TrueDepth พร้อมกล้องอัลตราไวด์ ความละเอียด12MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ ความละเอียด 12MP และกล้องอัลตราไวด์ ความละเอียด 10MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Face ID
  • ขนาด: 178.5x247.6x5.9 มม.
  • นํ้าหนัก: รุ่น Wi-Fi 466 กรัม / รุ่น Wifi+Cellular 468 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 128 GB, 256 GB, 512 GB, 1 TB,2 TB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt และ USB 4
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Smart Keyboard Folio, Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เงิน และเทาสเปซเกรย์
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 32,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store
 
iPad (รุ่นที่ 10)
iPad (รุ่นที่ 10)

 

5. iPad (รุ่นที่ 10)

iPad รุ่น 10 มาพร้อมสีสันพาสเทลถึง 4 สี ได้แก่ เงิน, ชมพู, ฟ้า และเหลือง ราคาน่ารักและสามารถจับจองได้ไม่ยาก ใช้งานง่ายด้วยปุ่มสแกนลายนิ้วมือ และชิป A14 Bionic ที่มีประสิทธิภาพสูง ตัดต่อคลิป 4K ได้ลื่นไหลโดยไม่ต้องพึ่งคอมพิวเตอร์

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว
  • ชิป: A14 Bionic
  • กล้องหน้า: กล้องหน้าอัลตราไวด์ในแนวนอน 12MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID
  • ขนาด: 248x179.5x7 มม.
  • นํ้าหนัก: รุ่น WiFi 477 กรัม / รุ่น Wifi + Cellular 481 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 64GB, 256GB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard Folio, Apple Pencil รุ่นที่1
  • สี: เงิน, ฟ้า, เหลือง และชมพู
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 12,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store


 
iPad (รุ่นที่ 9)
iPad (รุ่นที่ 9)

 

6. iPad (รุ่นที่ 9)

iPad รุ่น 9 พกพาง่ายและแบตเตอรี่ใช้งานได้ทั้งวัน มาพร้อมปุ่มโฮมที่ใช้งานง่าย รองรับการทำงานและความบันเทิงทุกรูปแบบ ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil เพื่อสร้างสรรค์งานได้อย่างสะดวก และมีฟีเจอร์การโฟกัสตรงกลางเมื่อใช้กล้องหน้า เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการ iPad ราคาประหยัด เพราะแม้จะไม่ใช่รุ่นล่าสุด แต่มีประสิทธิภาพครบครัน

  • รูปแบบจอภาพ: จอภาพ Retina ขนาด 10.2 นิ้ว
  • ชิป: A13 Bionic
  • กล้องหน้า: กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ความละเอียดขนาด 12 MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียดขนาด 8MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID
  • ขนาด: 250.6x174.1x7.5 มม.
  • นํ้าหนัก: รุ่น WiFi 487 กรัม / รุ่น WiFi + Cellular 498 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 64 GB,256 GB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต Lightning
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Smart Keyboard, Apple Pencil รุ่นที่ 1
  • สี: เงิน และเทาสเปซเกรย์
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 12,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store


 
iPad Air (รุ่นที่ 5)
iPad Air (รุ่นที่ 5)

 

7. iPad Air (รุ่นที่ 5)

iPad Air รุ่น 5 มาพร้อมชิป M1 ที่ให้ความเร็วและประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยมีเดียเอนจิ้น H.264 และ HEVC ที่เร่งความเร็วได้ดีเยี่ยม รองรับการทำงาน เรียน และความบันเทิง รวมถึงเล่นเกมได้ไหลลื่น ใครมองหา iPad เบา ๆ สำหรับเล่นเกม แต่ยังไม่รู้ว่ารุ่นไหนดี รุ่นนี้เหมาะเลย ขนาดกะทัดรัดพกพาง่ายและหน้าจอที่ให้ความคมชัดระดับสูง เหมาะสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina 10.9 นิ้ว
  • ชิป: Apple M1
  • กล้องหน้า: กล้องหน้าอัลตราไวด์ความละเอียดขนาด12MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียดขนาด 12MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID
  • ขนาด: 247.6x178.5x6.1 มม.
  • นํ้าหนัก: รุ่น Wi-fi 461 กรัม / รุ่น Wifi + Cellular 462 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 64 GB และ 256GB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard, Smart Keyboard Folio และ Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เทาสเปซเกรย์, สตาร์ไลท์, ชมพู, ม่วง และฟ้า
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 23,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store



 
iPad  Air 13 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)
iPad  Air 13 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)

 

8. iPad Air 13 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)

iPad Air 13 นิ้ว รุ่นนี้มาพร้อมกับชิป Apple M2 ที่ทรงพลัง เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักสร้างสรรค์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง จอภาพขนาดใหญ่ที่เหมาะกับการทำงานกราฟิก การดูหนังฟังเพลง และเล่นเกม กล้องมีความละเอียดที่ดีทำให้การถ่ายภาพและวิดีโอคมชัด

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 13 นิ้ว
  • ชิป: Apple M2
  • กล้องหน้า: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID
  • ขนาด: 280.6x214.9x6.1 มม.
  • น้ำหนัก: รุ่น Wi-Fi 617 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 128 GB, 256 GB, 512 GB, 1 TB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: สเปซเกรย์, ฟ้า, ม่วง, สตาร์ไลท์
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 28,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store


 
iPad Air 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)
iPad Air 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)

 

9. iPad Air 11 นิ้ว รุ่น Wi-Fi (ชิป M2)

รุ่น iPad Air 11 นิ้ว เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการ iPad น้ำหนักเบา แต่ยังคงความสามารถในการประมวลผลที่ดีด้วยชิป Apple M2 เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการอุปกรณ์ที่สะดวกในการพกพาไปเรียนหรือใช้ทำงาน

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 11 นิ้ว
  • ชิป: Apple M2
  • กล้องหน้า: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID
  • ขนาด: 247.6x178.5x6.1 มม.
  • น้ำหนั: รุ่น Wi-Fi 462 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 128 GB, 256 GB, 512 GB, 1 TBB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Magic Keyboard, Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: สเปซเกรย์, ฟ้า, ม่วง, สตาร์ไลท์ง
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 21,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store

 

iPad Mini 6 รุ่น Wi-Fi
iPad Mini 6 รุ่น Wi-Fi

 

10. iPad Mini 6 รุ่น Wi-Fi

iPad Mini 6 รุ่นใหม่ มาพร้อมกับขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพกพาสะดวก แต่ยังคงให้ประสิทธิภาพสูงจากชิป Apple A15 Bionic หน้าจอ Liquid Retina ที่คมชัด ทำให้การดูหนัง ฟังเพลง หรือเล่นเกมมีความลื่นไหล กล้องหน้าและกล้องหลังมีความละเอียดสูงเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอคอล

  • รูปแบบจอภาพ: Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว พร้อมเทคโนโลยี True Tone และการแสดงผลแบบ P3 wide color gamut
  • ชิป: Apple A15 Bionic พร้อม Neural Engine
  • กล้องหน้า: กล้องความละเอียด 12 MP รองรับฟีเจอร์ Center Stage
  • กล้องหลัง: กล้องไวด์ความละเอียด 12 MP พร้อม Focus Pixels และแฟลช True Tone
  • ระบบรักษาความปลอดภัย: Touch ID ที่ปุ่มด้านบน
  • ขนาด: 195.4x134.8x6.3 มม.
  • น้ำหนัก: รุ่น Wi-Fi 293 กรัม
  • ระบบปฏิบัติการ: iPadOS
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล: 64 GB และ 256 GB
  • การเชื่อมต่อ: พอร์ต USB-C รองรับการถ่ายโอนข้อมูลและการชาร์จ
  • อุปกรณ์เสริม Apple ที่รองรับ: Apple Pencil (รุ่นที่ 2)
  • สี: เทาสเปซเกรย์, ชมพู, ม่วง, และสตาร์ไลท์
  • ราคา: เริ่มต้นที่ 17,900 บาท
  • พิกัด: Apple Store
 
วิธีเลือกซื้อไอแพดรุ่นไหนดีมีอะไรบ้าง
วิธีเลือกซื้อไอแพดรุ่นไหนดีมีอะไรบ้าง

 

วิธีการเลือกไอแพดรุ่นไหนดีให้เหมาะกับการใช้ทำงานแต่ละแบบ

รู้จัก 10 ไอแพดรุ่นยอดนิยมที่เราได้แนะนำไปข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าแต่ละรุ่นมาพร้อมกับคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งมือใหม่ผู้ไม่เคยเป็นเจ้าของ iPad มาก่อน อาจไม่รู้ว่าควรเลือก ซื้อไอแพดรุ่นไหนดีไว้ใช้ทำงาน เล่นเกม หรือตัดต่อวิดีโอ ดังนั้น มาดูวิธีการเลือกไอแพดต่อไปนี้กันได้เลย ว่าเราควรเลือก iPad รุ่นไหนดี ถึงจะตรงใจมากที่สุด

 

1. สําหรับการใช้งานทั่วไป

  • พกพาเป็นหลัก
    หากคุณสนใจใช้งาน iPad เพราะต้องการพกพาไปทำงานนอกสถานที่เป็นหลัก เช่น ร้านคาเฟ่ใกล้บ้าน หรือต่างจังหวัด ควรเลือก iPad น้ำหนักเบาขนาดไม่เกิน 500 กรัม และมีหน้าจอไซซ์กลางขนาดประมาณ 10 นิ้ว เช่น iPad รุ่นที่ 9 และ iPad Air (รุ่นที่ 5) นอกจากพิจารณาด้านน้ำหนักแล้ว ในกรณีที่คุณพกพาไปทำงานนอกสถานที่เป็นประจำ ควรเลือกไอแพดที่มาพร้อมกับคุณสมบัติการเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตด้วยระบบ Cellular เพราะสถานที่บางแห่งไม่มีสัญญาณ Wi-Fi ทำให้ต้องใช้สัญญาณจากซิมมือถือแทน
  • ใช้งานทุกประเภท
    ถ้าต้องการ iPad รุ่นที่สามารถรองรับการใช้งานทุกประเภท ควรเลือก iPad ที่เชื่อมต่อได้ทั้งระบบ Wi-Fi และ Cellular เพราะเหตุผลด้านความสะดวกในการทำงานตามที่กล่าวไปแล้วเบื้องต้น และข้อดีอีกประการของ iPad ระบบ Cellular คือ ระหว่างการใช้งานแบตเตอรี่จะไม่ลดเร็วจนเกินไป ทำให้ใช้งานได้ตลอดทั้งวัน ไม่ต้องคอยชาร์จแบตเตอรี่บ่อย ในขณะที่ iPad รุ่น Wi-Fi จะใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่า ส่งผลให้แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว จึงต้องชาร์จแบตเตอรี่สม่ำเสมอ สุดท้ายแล้วในระยะยาวแบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิม หากสงสัยว่าควรเลือก iPad รุ่นไหนดีระหว่างระบบ Wifi+Cellular เราแนะนำ iPad (รุ่นที่ 10) เป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะใช้งานระบบ Wifi+ Cellular ได้แล้ว ชิปเซ็ต A14 Bionic ยังมีคุณสมบัติรองรับการใช้งานทั่วไปแบบครบวงจรทั้งด้านการเล่นเกม, ดูหนัง, ฟังเพลง พร้อมการทำงานแบบ Multitasking ในระดับสูง การันตีคุณภาพของชิปเซ็ตด้วยคะแนนจากเว็บไซต์ Antutu ไปถึง 1095315 คะแนน
  • หน้าจอใหญ่และการแสดงผลที่ใหญ่ ในราคาที่จับต้องได้
    แม้ว่า iPad Pro 12.9 นิ้ว จะมีขนาดหน้าจอใหญ่ แต่ราคาอาจสูงเกินไปจนหลายคนไม่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ การเลือกไอแพดที่ขนาดหน้าจอใกล้เคียงกัน แต่ราคาต่ำกว่าอาจเป็นชอยส์ที่น่าสนใจสำหรับใครหลายคน เช่น iPad (รุ่นที่ 10) และ iPad (รุ่นที่ 9) ซึ่งราคาเริ่มต้นเพียงหลักหมื่นต้น ๆ
 

2. สําหรับใช้งานเฉพาะทาง

  • เน้นงานตัดต่อหรือเน้นประสิทธิภาพของหน้าจอ
    ในกรณีที่เพื่อน ๆ สนใจใช้งานไอแพดเพื่อเปิดประสบการณ์รับชมภาพยนตร์อย่างเหนือระดับ และทำงานตัดต่อวิดีโออย่างมืออาชีพ ควรเลือก iPad รุ่นที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุดอย่างรุ่น iPad Pro 12.9 นิ้ว เพราะนอกจากหน้าจอกว้างแล้ว จอภาพยังใช้เทคโนโลยี Liquid Retina XDR ซึ่งอัปเกรดมาจากเทคโนโลยีหน้าจอภาพ Liquid Retina ของ iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว
    ข้อดีของเทคโนโลยี Liquid Retina XDR คือ รองรับความสว่างได้สูงสุดระดับ 1000Nits ทำให้รับชมวิดีโอ พร้อมภาพถ่ายที่สวยงามสมจริงมากยิ่งขึ้น แถมหน้าจอ Liquid Retina XDR ยังให้ภาพคมชัดมาตรฐาน HDR และปรับอัตรารีเฟรชเรตของจอแสดงผลได้สูงสุด 120 Hz ทำให้ตัดต่อวิดีโอคุณภาพระดับสูงได้ต่อเนื่อง ไม่มีสะดุด
  • เน้นงานถ่ายภาพหรือประสิทธิภาพของกล้อง
    สำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ เราแนะนำให้ใช้งาน iPad Pro 12.9 นิ้ว เพราะนอกจากความละเอียดของกล้องจะเหนือกว่า iPad รุ่นต่าง ๆ แล้วยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อีกมากมายทำให้การถ่ายรูปคมชัดมากกว่าเดิม เช่น ระบบป้องกันภาพสั่นไหว, โหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง รวมทั้งแฟลช True Tone ที่ให้ความสว่างระดับสูง แม้ว่าจะถ่ายภาพในเวลากลางคืน
 

3. เลือกไอแพดที่รองรับ Apple Pencil และ Magic Keyboard ตามการใช้งาน (iPad รุ่นไหนใช้ปากกาได้)

ไอแพดสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม อย่าง Apple Pencil และ Magic Keyboard ซึ่งแต่ละรุ่นก็รองรับ Apple Pencil กับ Magic Keyboard ได้ไม่เหมือนกัน เช่น iPad รุ่น 12.9 Pro, iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 4), iPad Air รุ่นที่ 5 รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ในขณะที่ iPad (รุ่นที่ 10), iPad (รุ่นที่9) รองรับเฉพาะ Apple Pencil รุ่นที่ 1

โดย Apple Pencil รุ่นที่ 2 และ Apple Pencil รุ่นที่ 1 สเปกจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ Apple Pencil รุ่นที่ 2 จะใช้วิธีการชาร์จแบตเตอรี่ และเชื่อมต่อผ่านแท็บแม่เหล็กแบบอัตโนมัติ ส่วน Apple Pencil รุ่นที่ 1 ใช้วิธีการเชื่อมต่อและชาร์จไฟผ่านพอร์ต Lightning ในรูปแบบเดิม

ส่วน Magic Keyboard เป็นมากกว่าแป้นพิมพ์ทั่วไป เพราะสามารถเชื่อมต่อไอแพดผ่านแท็บแม่เหล็ก ทำให้พิมพ์งานได้อย่างสะดวก โดยไม่ต้องเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB C อีกทั้ง Magic Keyboard ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Trackpad ทำให้ควบคุม iPad ได้เหมือนกับแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊ก

 

4. เลือกไอแพดจากขนาดความจุที่รองรับการใช้งาน

ถ้าคุณทำงานอาชีพศิลปินออนไลน์ หรือรับจ้างตัดต่อวิดีโอ เราแนะนำให้เลือกซื้อที่มีความจุมากกว่า 256 GB ขึ้นไป เนื่องจากไฟล์รูปภาพ และไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่มากกว่าไฟล์เอกสาร ทำให้เมื่อใช้งาน iPad ไปสักระยะจะพบกับปัญหาพื้นที่จัดเก็บเต็ม ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่า iPad ไม่สามารถอัปเกรดขนาดพื้นที่จัดเก็บด้วย SDcard เหมือนกับแท็บเล็ตได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องซื้อพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมจาก iCloud แทน

 

5. เลือกไอแพดที่มาพร้อมกับประกัน AppleCare+

หากซื้อไอแพดมือหนึ่งจากตัวแทนจำหน่ายของ Apple และ Apple Store จะได้รับประกัน AppleCare + ติดตั้งมาให้ในตัวเครื่องอยู่แล้ว โดยมีระยะเวลาคุ้มครองเครื่องจากความเสียหายด้าน Hardware นาน 1 ปี พร้อมบริการช่วยเหลือด้านเทคนิคโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายนาน 90 วัน

แต่ในกรณีที่คุณไม่แน่ใจว่าไอแพดรุ่นที่คุณใช้งานอยู่มี AppleCare + หรือไม่ ก็สามารถตรวจสอบด้วยตนเอง โดยกรอกหมายเลขประจำตัวเครื่องผ่านเว็บไซต์ https://checkcoverage.apple.com/th/th
และแม้ว่า AppleCare + จะหมดอายุกรมธรรม์แล้วก็ตาม หากต้องการต่ออายุประกันเพิ่มเติมสามารถซื้อได้จากช่องทางออนไลน์https://mysupport.apple.com/add-coverage?productTypeId=SG003 และ Apple Store ซึ่งจะขยายระยะเวลาคุ้มครองไปอีก 2 ปี

 

6. เลือกไอแพดจากคุณสมบัติเพิ่มเติมและพอร์ตการเชื่อมต่อของ iPad

ไอแพดแต่ละรุ่นต่างมีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างกันออกไป เช่น iPad 12.9 นิ้ว เป็นรุ่นเดียวที่มีระบบ Face ID เนื่องจากสามารถใช้งานกล้อง True-Depth ซึ่งสามารถคำนวณรูปทรงของใบหน้า พร้อมจดจำได้อย่างแม่นยำ ผ่านเซนเซอร์ของตัวกล้อง ทำให้รักษาความปลอดภัยได้ดีเยี่ยม ในขณะที่ iPad (รุ่นที่ 10) ก็มีฟีเจอร์พิเศษอย่าง “Portrait” ทำให้เบลอภาพพื้นหลังในระหว่างประชุมด้วยแอป Google Meet ได้

และคุณสมบัติเด่นของ iPad 12.9 นิ้ว และ iPad รุ่นที่ 10 ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การรองรับพอร์ต USB-C เป็นครั้งแรก หลังจาก iPad ใช้งานพอร์ต lightning มาอย่างยาวนาน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ทำให้ iPad เชื่อมต่อกับ Gadgets อื่นนอกค่าย Apple ได้ เช่น เมาส์ หรือคีย์บอร์ด ช่วยให้ทำงานตัดต่อวิดีโอ วาดภาพ พิมพ์งานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หวังว่าทุกคนคงได้รับคำตอบกันไปแล้วนะครับว่าควรเลือกซื้อ iPad รุ่นไหนดี ถึงจะได้สเปกที่ใช่ ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน เมื่อจับจองเป็นเจ้าของ iPad กันแล้ว อย่าลืมหมั่นดูแลรักษาด้วยการใส่เคสคุณภาพสูง เพื่อป้องกันการตกกระแทกเสียหาย และไม่ชาร์จไปเล่นไประหว่างการใช้งาน เพียงเท่านี้ก็ใช้งาน iPad ได้อย่างคงทน ไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ในทุกปีแน่นอน

ไม่ว่าจะช้อปปิ้งที่ไหนก็เพลิดเพลินได้ จะช้อปบนแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ แค่ชำระผ่านบัตรเครดิต กรุงศรี นาว แพลทินัม รับเครดิตเงินคืน 5%* (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 - 31 ธ.ค. 68) และยังรับพอยต์ 2X* (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 68 - 31 ธ.ค. 68) เมื่อมียอดใช้จ่ายที่ร้านอาหารทั่วโลก พร้อมรับสิทธิประโยชน์และโปรโมชันบัตรเครดิตมากมาย ครบคุ้มขนาดนี้ จัดเลยให้ไวสมัครบัตรเครดิต กรุงศรี นาว แพลทินัม ได้เลยที่นี่

 

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด
*ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ยสูงสุด 16% ต่อปี



บัตรเครดิต กรุงศรี นาว แพลทินัม