ข้อมูลทางกฎหมาย และคำยินยอมของผู้สมัคร

ข้าพเจ้าและ/หรือผู้สมัครบัตรเสริม (“ข้าพเจ้า”) ขอรับรองว่าข้อมูลและรายละเอียดที่ระบุในใบสมัครนี้เป็นความจริงทุกประการ ข้าพเจ้าตกลงส่งมอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขอสินเชื่อนี้ โดยข้าพเจ้ายินยอมให้ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ("บริษัทฯ") ทำการเปิดเผย แลกเปลี่ยน ส่ง และ/หรือ โอนข้อมูลส่วนบุคคลของข้าพเจ้าและข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า แก่บริษัทที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) อ้างอิงรายชื่อในเว็บไซต์ https://www.krungsri.com/th/about-krungsri/about-us/subsidiaries ผู้ให้บริการภายนอก ตัวแทนของผู้ให้บริการ ผู้รับจ้างช่วงงานต่อ หน่วยงานราชการตามกฎหมาย บริษัทพันธมิตร ตลอดจนเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลของข้าพเจ้ากับข้อมูลที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของบริษัทฯ และบริษัทพันธมิตรทางธุรกิจที่ออกผลิตภัณฑ์ร่วมกันในลักษณะ co-brand ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่ข้าพเจ้าสมัครเท่านั้น เช่น บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท สยาม ทาคาชิมาย่า (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เอไอเอ จำกัด หรือ บริษัท แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟุตบอล คลับ จำกัด แล้วแต่กรณี รวมถึงผู้รับโอนสิทธิและ/หรือหน้าที่จากนิติบุคคลดังกล่าว สถาบันการเงินต่างๆ บริษัทซึ่งเป็นผู้ให้บริการบริหารความเสี่ยง หรือผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการจัดเก็บหรือประมวลผลข้อมูล และบริษัทผู้ให้บริการเพื่อสนับสนุนการให้บริการของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเพื่อประกอบการพิจารณาคำขอรับเงินสินเชื่อและการประเมินเครดิตของข้าพเจ้า การปฏิบัติตามสัญญาระหว่างบริษัทฯ กับข้าพเจ้า การพิสูจน์ตัวตนหรือยืนยันตัวตนของข้าพเจ้าทางดิจิทัล ตลอดจนเพื่อวัตถุประสงค์ในการบอกกล่าว การติดตามทวงถามหนี้ และการปฏิบัติตามกฎหมาย

ข้าพเจ้ารับทราบและตกลงว่าบริษัทฯ อาจมอบหมายให้บุคคลอื่นดำเนินการติดตามทวงถามหนี้แทนบริษัทฯ อีกทั้งยินยอมให้บริษัทฯ และ/หรือตัวแทนของบริษัทฯ ทำการติดต่อ เปิดเผยข้อมูล และ/หรือข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของข้าพเจ้าให้กับบุคคลที่ได้รับมอบหมายเพื่อประโยชน์ในการติดตามทวงถามหนี้ของข้าพเจ้า รวมถึงตกลงให้บริษัทฯ สามารถรับชำระหนี้ของข้าพเจ้าจากบุคคลอื่นได้ตามที่เห็นสมควร

ข้าพเจ้ายินยอมผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของบริษัทฯ ซึ่งข้าพเจ้าสามารถตรวจสอบได้ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ และ/หรือช่องทางอื่นที่บริษัทฯ จัดให้มีขึ้น เว้นแต่ข้าพเจ้าจะทำการยกเลิกการใช้สินเชื่อโดยแจ้งไปยังบริษัทฯ ทั้งนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าบริษัทฯ มีสิทธิโดยชอบที่จะปฏิเสธใบสมัครของข้าพเจ้า โดยข้าพเจ้าสามารถขอเอกสารประกอบใบสมัครคืนได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่บริษัทฯ ปฏิเสธใบสมัครของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอรับรองว่าได้อ่านและเข้าใจประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ จัดไว้ที่ https://www.krungsricard.com/th/pdpa/privacynotice-customer โดยสามารถเข้าดูด้วยการสแกน QR Code ที่ปรากฏในใบสมัครนี้

BCC0322
นโยบายความเป็นส่วนตัว

“ ข้อควรระวัง!! บัตรเครดิตมีดอกเบี้ย หากจ่ายไม่ครบหรือจ่ายช้า จะถูกเรียกเก็บดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม โปรดทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์และเงื่อนไขก่อนลงนาม “

ข้อกำหนดและเงื่อนไขสัญญาการใช้บัตรเครดิต
ในสัญญานี้หากไม่กำหนดไว้โดยเฉพาะเป็นอย่างอื่นแล้ว
“บริษัท” หมายถึง บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด
“บัตร” หมายถึง บัตรเครดิตที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือบัตร (บัตรหลัก) และให้แก่บุคคลตามที่ผู้ถือบัตรหลักร้องขอ (บัตรเสริม)
“ผู้ถือบัตร” หมายถึง ผู้ที่บริษัทได้อนุมัติให้เป็นสมาชิกของบริษัทเพื่อใช้บริการบัตรเครดิตและส่งมอบบัตรเครดิตให้ใช้ในฐานะผู้ถือบัตรหลักและ/หรือผู้ถือบัตรเสริม
ก่อนการเปิดใช้บริการบัตร การลงลายมือชื่อหลังบัตรและ/หรือการใช้บัตรนี้ ผู้ถือบัตรกรุณาอ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ตามสัญญานี้ให้เข้าใจ เพราะโดยการลงลายมือชื่อหลังบัตร การเปิดใช้บริการบัตรและ/หรือการใช้บัตรนี้ของผู้ถือบัตรจะถือว่าผู้ถือบัตรตกลงยินยอมผูกพันและปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดในสัญญานี้ทุกประการ

1. สิทธิหน้าที่ของผู้ถือบัตร

1.1 บัตรที่บริษัทออกให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทซึ่งมอบให้ผู้ถือบัตรเป็นผู้ใช้เท่านั้น ผู้ถือบัตรจะไม่จำหน่ายหรือโอนสิทธิตามสัญญานี้ให้แก่บุคคลอื่นใดรวมทั้งไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นใดใช้บัตรแทนและ/หรือลงลายมือชื่อแทนในทุกกรณี ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรจะต้องลงลายมือชื่อในช่องที่กำหนดไว้ด้านหลังบัตรทันทีที่ได้รับบัตร โดยการลงลายมือชื่อหลังบัตรและ/หรือการใช้บัตรนี้จะถือว่าผู้ถือบัตรตกลงยินยอมผูกพันและปฏิบัติตามข้อสัญญาต่างๆ ในสัญญานี้ทุกประการ

1.2 ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรนี้ในการ (ก) เบิกเงินสดล่วงหน้า (ข) ชำระค่าสินค้า ค่าบริการต่างๆ และ/หรือค่าอื่นใดแทนการชำระเงินสด ไม่ว่าจะผ่านทางร้านค้าหรือสถานที่ให้บริการที่มีเครื่องหมายสัญลักษณ์บัตรติดตั้งอยู่ หรือ(ค) ทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ทางเว็บไซต์ ทางโทรศัพท์ ทางไปรษณีย์ หรือทางเครื่องเบิกถอนเงินสดอัตโนมัติ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากบริษัท ทั้งนี้บริษัทสงวนสิทธิที่จะไม่อนุมัติและ/หรือไม่รับผิดชอบวงเงินจากการใช้บัตรที่เป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์การใช้บัตรหรือเป็นการฝ่าฝืนตามข้อ 2.1 โดยการทำธุรกรรมต่างๆ ดังกล่าว (รวมถึงการใช้บริการหักชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ผ่านบัญชีบัตรเครดิตของผู้ถือบัตร) ผู้ถือบัตรตกลงให้ข้อสัญญาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมต่างๆ ดังกล่าว (ถ้ามี) ไม่ว่าจะมีการลงนามโดยผู้ถือบัตรหรือไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับนี้ และตกลงยอมรับในข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุในสัญญาดังกล่าวทุกประการ

1.3 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรใช้บัตรแทนการชำระเงินเกินกว่าวงเงินที่บริษัทกำหนดโดยได้รับอนุมัติจากบริษัทเป็นครั้งคราว ไม่ถือว่าการอนุมัตินั้นเป็นการเพิ่มวงเงินถาวรให้ผู้ถือบัตร และผู้ถือบัตรต้องชำระส่วนที่เกินวงเงินที่ได้ใช้ไปให้กับบริษัทตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด

1.4 ในกรณีที่บริษัทอนุมัติออกบัตรเสริมแก่ผู้ถือบัตรหลัก ผู้ถือบัตรหลักตกลงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงดอกเบี้ย เบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมต่างๆ) ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลมาจากการที่บริษัทออกบัตรให้แก่ผู้ถือบัตรเสริมและ/หรือการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมตามที่ผู้ถือบัตรหลักร้องขอโดยไม่คำนึงถึงข้อจำกัดเรื่องความสามารถทางกฎหมายของผู้ถือบัตรเสริมและจะไม่ยกข้อจำกัดดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อปฏิเสธความรับผิดดังกล่าว หรือเป็นข้อโต้แย้งสิทธิของบริษัทในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเช่นว่านั้นทั้งหมดจากผู้ถือบัตรหลัก และผู้ถือบัตรหลักตกลงว่าการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมเป็นการกระทำภายใต้อำนาจของผู้ถือบัตรหลักทุกประการโดยผู้ถือบัตรหลักจะไม่ปฏิเสธความรับผิดใดๆ ที่เกิดจากการใช้บัตรของผู้ถือบัตรเสริมไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม นอกจากนี้ผู้ถือบัตรเสริมตกลงรับผิดร่วมกันกับผู้ถือบัตรหลักในฐานะลูกหนี้ร่วมเพื่อชำระเงินค่าสินค้าและ/หรือบริการอันเกิดจากการใช้บัตร รวมทั้งดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าธรรมเนียมต่างๆ ให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ในกรณีที่บริษัทติดตามหนี้จากผู้ถือบัตรหลักหรือผู้ถือบัตรเสริมรายใดรายหนึ่ง ไม่ถือเป็นการตัดสิทธิบริษัทในการติดตามหนี้จากผู้ถือบัตรที่เหลือจนกว่าบริษัทจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนหมดสิ้นแล้วทั้งจำนวน

1.5 ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรนี้เบิกถอนเงินสดโดยวิธี (1) ทำธุรกรรมผ่านระบบโทรศัพท์อัตโนมัติตามหลักเกณฑ์ในข้อ 5 ของสัญญานี้ (2) เบิกถอนผ่านเครือข่ายของ VISA/MASTERCARD โดยการเบิกถอนเงินสด ณ เคาน์เตอร์ที่มีเครื่องหมาย VISA/MASTERCARD และ/หรือ (3) เบิกถอนจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หรือ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ของสถาบันการเงินที่มีเครื่องหมาย VISA/PLUS/MASTERCARD/CIRRUS/ATM POOL หรือจากเครื่องฝากถอนอัตโนมัติที่บริษัทจัดเตรียมไว้ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 6 ของสัญญานี้ โดย

(ก) ผู้ถือบัตรตกลงปฏิบัติตามสัญญาฉบับนี้และยอมรับการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดใดๆ ที่อาจมีขึ้นเป็นครั้งคราว

(ข) สำหรับกรณีการทำธุรกรรมผ่านระบบโทรศัพท์หรือทางเครื่องฝากถอนอัตโนมัติ บริษัทจะออกเลขรหัสประจำตัว (Personal Identification Number หรือ PIN) ให้แก่ผู้ถือบัตร (ซึ่งผู้ถือบัตรสามารถเปลี่ยนแปลงรหัสดังกล่าวได้) เพื่อเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าโดยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของจำนวนเงินและจำนวนครั้งที่เบิกถอน ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรต้องระมัดระวังป้องกันมิให้ผู้อื่นทราบ หรือล่วงรู้เลขรหัสประจำตัวได้

(ค) ในการเบิกถอนเงินสดไม่ว่าโดยวิธีหนึ่งวิธีใดตามที่ระบุข้างต้น ผู้ถือบัตรตกลงให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของผู้ถือบัตร

(ง) ผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทคิดค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดในอัตราที่บริษัทกำหนดแต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถใช้บัตรเบิกถอนเงินสดได้เป็นจำนวนไม่เกินวงเงินเบิกถอนเงินสดที่เหลือในจำนวนไม่น้อยกว่าครั้งละ 1,000 บาท สำหรับการเบิกถอนเงินสด ณ เคาน์เตอร์ที่มีเครื่องหมาย VISA/MASTERCARD จำนวนเงินที่จะเบิกได้จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ผู้ให้บริการนั้นๆ เป็นผู้กำหนด

1.6 นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ตามข้อ 2.2 ผู้ถือบัตรตกลงว่าวงเงินของบัตรเครดิตรวมถึงวงเงินเบิกเงินสดที่บริษัทอนุมัติให้ผู้ถือบัตรนั้นเป็นวงเงินที่บริษัทสามารถทำการพิจารณาเปลี่ยนแปลง (ไม่ว่าปรับเพิ่มหรือลด)ในภายหลังได้ตามหลักเกณฑ์ของบริษัท โดยบริษัทสงวนสิทธิที่จะปรับเพิ่มหรือลดวงเงินบัตรเครดิตและ/หรือวงเงินเบิกถอนเงินสดของผู้ถือบัตร (รวมถึงการยกเลิกวงเงินเบิกเงินสด) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของผู้ถือบัตร ลักษณะการใช้บัตร ประวัติการชำระเงิน และ/หรืออายุการเป็นสมาชิกบัตรของผู้ถือบัตร โดยผู้ถือบัตรสามารถทำการตรวจสอบวงเงินเบิกเงินสดของผู้ถือบัตรได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าของบริษัท

1.7 ในการใช้บัตรแทนการชำระเงินสดนั้น ผู้ถือบัตรต้องแสดงบัตรต่อพนักงานของสถานประกอบการ และลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรือการให้บริการ (Sales Slip) หรือบนเครื่องรับลายเซนต์ (Electronic Sign Pad) หรืออุปกรณ์อื่นใด เพื่อเป็นหลักฐานในการใช้บัตรแทนการชำระเงินทุกครั้ง โดยผู้ถือบัตรอาจขอรับใบเสร็จรับเงินจากสถานประกอบการได้แต่ใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไม่ถือเป็นหลักฐานการชำระเงินของผู้ถือบัตรต่อบริษัทและไม่เป็นการปลดเปลื้องภาระรับผิดชอบของผู้ถือบัตรที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้แก่บริษัทจนครบถ้วน

1.8 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรสั่งซื้อสินค้าโดยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือค่าใช้บริการโดยการแจ้งหมายเลขบัตรเครดิตด้วยวาจาหรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้ขายสินค้าหรือแก่ผู้ให้บริการเพื่อทำการเรียกเก็บเงินจากบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงดังนี้

(ก) กรณีผู้ถือบัตรทักท้วงว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้เป็นผู้ขอใช้บริการจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการหรือกรณีได้ถูกเรียกเก็บเงินไปแล้ว บริษัทจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรเว้นแต่บริษัทพิสูจน์ได้ว่าภาระหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้ถือบัตรเอง โดยบริษัทจะใช้สิทธิเรียกเก็บเงินคืนจากผู้ถือบัตรในภายหลัง โดยผู้ถือบัตรตกลงที่จะรับผิดในดอกเบี้ยและ/หรือค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าวด้วย

(ข) ผู้ถือบัตรมีสิทธิขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในระยะเวลา 45 วัน นับแต่วันที่สั่งซื้อหรือขอใช้บริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ครบกำหนดการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการ กรณีที่มีการกำหนดระยะเวลาส่งมอบสินค้าหรือบริการเป็นลายลักษณ์อักษร หากผู้ถือบัตรพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้ขอใช้บริการ หรือเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าแต่ได้รับไม่ตรงตามกำหนดเวลา หรือได้รับแล้วแต่ไม่ครบถ้วนหรือชำรุดบกพร่องหรือไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ บริษัทจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้ถือบัตร หรือกรณีเรียกเก็บเงินไปแล้วถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าภายในประเทศบริษัทจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรภายในระยะเวลา 30 วันนับแต่วันที่ผู้ถือบัตรแจ้ง ถ้าเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ บริษัทจะคืนเงินให้ภายในระยะเวลา 60 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากผู้ถือบัตร

1.9 ผู้ถือบัตรตกลงชำระหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรตามอัตราและวิธีการที่ได้ตกลงไว้กับบริษัท โดยบริษัทจะจัดทำใบแจ้งยอดบัญชี (ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปแบบของใบแจ้งยอดปกติหรือในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) เพื่อแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบเป็นรายเดือนโดยจะส่งใบแจ้งยอดบัญชีดังกล่าวให้ผู้ถือบัตรทราบทางไปรษณีย์หรือทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และ/หรือให้ผู้ถือบัตรทำการตรวจสอบจากเว็บไซต์ของบริษัทเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วันล่วงหน้าก่อนวันถึงกำหนดชำระ และผู้ถือบัตรตกลงชำระเงินค่าสินค้า ค่าบริการ หนี้อื่นใดอันเกิดจากการใช้บัตรโดยผู้ถือบัตรหลักและ/หรือผู้ถือบัตรเสริม รวมทั้งค่าธรรมเนียมอื่นๆ ให้บริษัทภายในวันที่กำหนดในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิต ยอดเงินขั้นต่ำที่แสดงไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตจะเป็นยอดเงินขั้นต่ำที่ผู้ถือบัตรต้องชำระในแต่ละเดือน ในกรณีที่ผู้ถือบัตรเห็นว่าใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตที่ได้รับไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ว่าด้วยประการใด ผู้ถือบัตรจะต้องปฏิบัติดังนี้

(ก) ทักท้วงภายใน 10 วันทำการนับตั้งแต่วันที่ผู้ถือบัตรได้รับใบแจ้งยอดบัญชีจากบริษัทและ/หรือวันที่บริษัททำการแจ้งให้ท่านตรวจสอบข้อมูลใบแจ้งยอดบัญชีจากเว็บไซต์ของบริษัท ในการพิจารณาวันครบกำหนดดังกล่าวบริษัทจะนำสืบวัน เวลา ที่นำส่งใบแจ้งยอดบัญชีให้แก่ผู้ขนส่ง และการทำงานของผู้ขนส่ง

(ข) ในกรณีที่บริษัทตรวจสอบแล้วเห็นว่ารายการในใบแจ้งยอดบัญชีนั้นถูกต้องแล้ว ผู้ถือบัตรจะต้องพิสูจน์ว่ารายการและยอดค่าใช้จ่ายตามที่ปรากฏในใบแจ้งยอดบัญชีไม่ถูกต้องและความไม่ถูกต้องนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดหรือความบกพร่องของผู้ถือบัตรเอง ทั้งนี้ผู้ถือบัตรจะต้องทักท้วงภายในระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่ผู้ถือบัตรได้รับในใบแจ้งยอดบัญชีจากบริษัท ทั้งนี้ ในกรณีผู้ถือบัตรต้องการสำเนาใบแจ้งยอดบัญชี หรือสำเนาใบบันทึกการขายเพื่อตรวจสอบรายการที่เกิดจากการใช้บัตร ผู้ถือบัตรตกลงจ่ายค่าธรรมเนียมการออกสำเนาใบแจ้งยอดบัญชีในอัตราที่บริษัทกำหนดให้แก่บริษัท

1.10 ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงว่าค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกิดจากการใช้จ่ายผ่านบัตร (รวมถึงการเบิกเงินสด) เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจะถูกเรียกเก็บเป็นเงินบาทไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนที่บริษัทถูกเรียกเก็บจากบริษัทบัตรเครดิตที่บริษัทเป็นสมาชิกอยู่ ณ วันที่มีการเรียกเก็บยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับบริษัท ทั้งนี้ หากสกุลเงินต่างประเทศดังกล่าวไม่ใช่เป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวอาจจะถูกแปลงเป็นสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐก่อนที่จะทำการแปลงเป็นสกุลเงินบาทเพื่อเรียกเก็บกับบริษัท ทั้งนี้ผู้ถือบัตรสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อใช้ในการอ้างอิงเบื้องต้นได้จาก : http://corporate.visa.com/pd/consumer_services/consumer_ex_rates.jsp นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงให้บริษัทคิดค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินดังกล่าวในอัตราไม่เกิน 2.5% จากยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการแปลงสกุลเงินดังกล่าว ข้างต้น

1.11 ในกรณีที่บัตรสูญหาย ถูกโจรกรรม หรือมีการทำธุรกรรมผ่านบัญชีบัตรโดยบุคคลอื่น (ไม่ว่าโดยการใช้บัตรหรือไม่ก็ตาม) ผู้ถือบัตรจะต้องแจ้งให้บริษัททราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวทันทีเพื่อทำการระงับการใช้บัตรและยกเลิกรหัสประจำบัตร โดยหลังจากบริษัทได้รับแจ้งแล้วบริษัทจะระงับการให้บริการบัตรดังกล่าวภายใน 5 นาทีนับแต่เวลาที่ได้รับแจ้ง บริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงก่อนที่บริษัทจะได้รับแจ้งให้ระงับ การให้บริการเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี โดยบริษัทจะทำการโอนเงินตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเข้าบัญชีผู้ถือบัตรภายใน 45 วันนับจากวันที่แจ้งหาย/ขออายัด หากบริษัทไม่ได้รับแจ้งดังกล่าวข้างต้นและมีผู้อื่นนำบัตรไปใช้หรือมีการแจ้งโดยไม่สุจริต และ/หรือการสูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อ ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้ตามรายการที่เกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับกรณีการเบิกถอนเงินสดผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบชดใช้เงินที่เบิกตลอดจนค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจนกว่าบริษัทจะได้รับแจ้งว่าผู้ถือบัตรประสงค์จะขอระงับการใช้บัตรและบริษัทบัตรได้ระงับการให้บริการบัตรแล้ว ซึ่งผู้ถือบัตรตกลงรับผิดในจำนวนภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนมีการแจ้งดังกล่าว (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า) อย่างไรก็ตามหากภายหลังบริษัทตรวจสอบและพิสูจน์ได้ว่าภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นดังกล่าว (ไม่ว่าก่อนหรือหลังการแจ้ง) เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ถือบัตรหรือผู้ถือบัตรมีส่วนรู้เห็นด้วยผู้ถือบัตรตกลงรับผิดชอบในหนี้จำนวนดังกล่าวเต็มจำนวน ในกรณีที่ผู้ถือบัตรต้องการให้บริษัทออกบัตรให้ใหม่ ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตร (ในส่วนที่ผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบ) และผู้ถือบัตรจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการออกบัตรใหม่ในอัตราที่บริษัทได้แจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบ และหากผู้ถือบัตรพบบัตรที่สูญหายหรือได้รับบัตรที่สูญหายคืน ผู้ถือบัตรจะตัดบัตรดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน เพื่อป้องกันมิให้มีการนำบัตรไปใช้ได้อีก

1.12 ผู้ถือบัตรให้ความยินยอมแก่บริษัทและบริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลเครดิตอื่นๆ ที่บริษัทเป็นสมาชิกอยู่ในการตรวจสอบหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และ/หรือข้อมูลเครดิต และ/หรือข้อมูลอื่นใดที่มีอยู่ในใบสมัครหรือการสื่อสารใดๆ ที่มีอยู่กับบริษัท บริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลเครดิตอื่นๆ ธนาคาร สถาบันการเงินและนิติบุคคลอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกบริษัทข้อมูลเครดิต บริษัทประมวลผลข้อมูลอื่นๆ และบริษัทในเครือของบริษัท รวมถึงการส่งข้อมูลไปยังต่างประเทศ อาทิ ประเทศออสเตรเลีย และอินเดีย เป็นต้น เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาสินเชื่อ การสนับสนุน หรือการประเมินเครดิตของผู้ถือบัตรได้ตลอดไป แม้ว่าผู้ถือบัตรจะได้ปิดบัญชีหรือยกเลิกการใช้บริการของบริษัท ไปแล้วก็ตาม ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ บริษัท ในการพิจารณาให้สินเชื่อหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนด และผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทสามารถนำผลการตรวจสอบดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ถือบัตรว่ามีลักษณะเข้าข่ายกรณีต่างๆ ตามข้อ 2.2 หรือไม่

1.13 ผู้ถือบัตรยินยอมให้บริษัทเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลของผู้ถือบัตรที่ให้ไว้กับบริษัท ทั้งในใบสมัคร หรือทางการสื่อสารใดๆ แก่บริษัทในเครือและบุคคลอื่น รวมทั้งการใช้หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ที่อยู่อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail address) และ/หรือหมายเลขวิทยุติดตามตัวของผู้ถือบัตรในการติดต่อสื่อสารหรือการส่งใบแจ้งหนี้หรือส่งข้อมูลหรือเอกสารเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตแก่ผู้ถือบัตรผ่านทางระบบสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต หรือคอมพิวเตอร์ หรือใช้ข้อมูลดังกล่าวในการเสนอสินค้าหรือบริการที่ บริษัทเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ถือบัตรหรือเพื่อทบทวนวงเงินสินเชื่อ รวมทั้งการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระ (หากมี) โดยระบุจำนวนค้างชำระได้ และผู้ถือบัตรจะแจ้งให้บริษัททราบทันทีหากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้ สำหรับการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระ (ถ้ามี) นั้น ผู้ถือบัตรรับทราบและตกลงว่าบริษัทจะทำการมอบหมายให้กับบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการแทนบริษัทหรืออาจจะดำเนินการด้วยตนเองก็ได้ และให้ความยินยอมกับบริษัท และ/หรือตัวแทนของบริษัทในการดำเนินการติดต่อกับบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือบัตรในการติดตามทวงถามหนี้ดังกล่าวในกรณีที่จำเป็นหรือไม่สามารถติดต่อผู้ถือบัตรได้ พร้อมทั้งยินยอมให้บริษัทและ/หรือผู้แทนของบริษัททำการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของผู้ถือบัตรให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวรวมถึงตกลงให้บริษัทสามารถรับชำระหนี้ใดๆ ตามบัตรของผู้ถือบัตรจากบุคคลอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์ในการติดตามทวงถามหนี้ค้างชำระของผู้ถือบัตรและให้ความยินยอมนี้มีอยู่ตลอดไปแม้จะได้มีการยกเลิกบัญชีบัตรแล้วก็ตาม

1.14 ผู้ถือบัตรจะต้องแจ้งให้บริษัททราบทันทีในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ นามสกุล อาชีพ สถานที่ทำงาน สถานที่อยู่ และรายละเอียดอื่นๆ ทั้งนี้บรรดาเอกสารหรือหนังสือใดๆ ที่บริษัทส่งไปยังผู้ถือบัตร หากส่งไปยังที่อยู่ และ/หรือที่ทำงานตามที่ผู้ถือบัตรได้แจ้งไว้ ให้ถือว่าส่งให้ผู้ถือบัตรแล้วโดยชอบ

1.15 หากบริษัทมิได้แจ้งยกเลิก เรียกคืน หรือระงับการใช้บัตรตามข้อ 2.2 ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรนี้ไปใช้ได้จนถึงวันที่บัตรหมดอายุซึ่งได้กำหนดไว้บนบัตรโดยการพิจารณาอนุมัติบัตรใหม่ให้กับผู้ถือบัตรนั้นจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทซึ่งบริษัทขอสงวนสิทธิในการไม่ต่ออายุบัตรให้กับผู้ถือบัตรที่คุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ ทั้งนี้หากบริษัทพิจารณาต่ออายุบัตรให้ ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับการต่ออายุบัตรนั้นโดยการขอเปิดใช้บัตรตามวิธีที่บริษัทกำหนด หรือในกรณีที่บริษัทไม่ต่ออายุบัตรให้ถือว่าสิทธิของผู้ถือบัตรตามสัญญานี้สิ้นสุดลงโดยผู้ถือบัตรมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ใดๆ ที่คงค้างตามสัญญานี้ต่อไปจนกว่าจะชำระครบถ้วนหมดสิ้นทั้งจำนวน

1.16 ผู้ถือบัตรสามารถแจ้งบริษัทเพื่อยกเลิกการใช้บัตรเมื่อใดก็ได้โดยแจ้งไปยังบริษัทและ/หรือโดยการตัดบัตรออกเป็น 2 ส่วนและส่งคืนไปยังบริษัท ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสามารถร้องขอค่าธรรมเนียมรายปีตามส่วนของระยะเวลาที่ยังมิได้ใช้บริการคืนจากบริษัทโดยจะต้องทำเรื่องขอคืนค่าธรรมเนียมภายใน 1 ปีนับจากวันที่แจ้งยกเลิก

1.17 ผู้ถือบัตรตกลงและยินยอมให้บริษัทนำเงินที่ได้รับชำระจากผู้ถือบัตรไปหักจากยอดเงินที่บริษัทเรียกเก็บโดยมีเงื่อนไขการชำระเงินและลำดับการหักยอดเงินตามที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตที่บริษัทจัดส่งให้กับผู้ถือบัตร

2. สิทธิหน้าที่ของบริษัท

2.1 บริษัทไม่รับผิดชอบในกรณีที่ธนาคาร ร้านค้า หรือผู้ประกอบการไม่รับบัตรหรือปฏิเสธการรับบัตรของผู้ถือบัตรในการทำธุรกรรมต่างๆ และบริษัทไม่รับผิดชอบในข้อตกลงหรือเงื่อนไขใดๆ ที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าหรือบริการซึ่งผู้ถือบัตรได้ทำไว้กับร้านค้าหรือสถานที่เหล่านั้น ทั้งนี้ผู้ถือบัตรตกลงว่าบริษัทมีสิทธิระงับบัตรของผู้ถือบัตรในกรณีที่ผู้ถือบัตรใช้บัตรในการทำธุรกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฏหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมถึงการใช้บัตรใดๆ ที่เป็นไปในลักษณะเชิงพาณิชย์หรือมีลักษณะการใช้บัตรที่ไม่เหมาะสม

2.2 บริษัทสงวนสิทธิ์ในการลดวงเงิน พิจารณาไม่ต่ออายุบัตร ระงับสิทธิการใช้ และ/หรือยกเลิกหรือเพิกถอนการเป็นผู้ถือบัตร(ทั้งบัตรหลักและ/หรือบัตรเสริม) เมื่อใดก็ได้ในกรณีที่เกิดเหตุแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ขึ้น ทั้งนี้บริษัทจะแจ้งการระงับหรือเพิกถอนดังกล่าวให้ผู้ถือบัตรทราบและมีผลใช้บังคับทันที โดยผู้ถือบัตรยังคงต้องรับผิดชอบในยอดคงค้างที่ยังไม่ได้ชำระให้กับบริษัทภายในเวลาที่บริษัทกำหนดในหนังสือแจ้งการระงับหรือเพิกถอนสิทธิดังกล่าว

(ก) ผู้ถือบัตรแจ้งข้อความอันเป็นเท็จในการสมัครเป็นผู้ถือบัตรไม่ว่าข้อความอันเป็นเท็จนั้นจะได้ปรากฏขึ้นหรือเป็นที่รับทราบของบริษัทก่อนหรือภายหลังการออกบัตรให้ผู้ถือบัตร

(ข) ผู้ถือบัตรไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใดของสัญญานี้

(ค) ผู้ถือบัตรผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้างชำระเมื่อถึงกำหนดชำระไม่ว่ากับบริษัทหรือบุคคลใดๆ หรือผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ค้างชำระกับบริษัทเมื่อถึงกำหนดชำระเป็นจำนวนรวมกันตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไปภายในรอบ 6 เดือน

(ง) เกิดการเปลี่ยนแปลงฐานะทางการเงินของผู้ถือบัตรหรือรายได้จากแหล่งที่มาต่างๆ (หรือผู้ถือบัตรมีภาระหนี้หรือวงเงินไม่ว่ากับบริษัทหรือสถาบันการเงินอื่นสูงเกินกว่ารายได้) และบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถือบัตรเป็นผู้มีฐานะการเงินไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรหรือผู้ถือบัตรประสบปัญหาอื่นใดอันเป็นสาระสำคัญซึ่งมีผลต่อการชำระหนี้ของผู้ถือบัตร

(จ) บริษัทพบว่าผู้ถือบัตรใช้บัตรผิดวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในสัญญานี้และ/หรือมีพฤติกรรมหรือคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมในการใช้บัตรหรือเป็นสมาชิกผู้ถือบัตร รวมถึงการใช้บัตรเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ หรือมีพฤติกรรมการใช้บัตรในทางฉ้อฉลหรือทุจริต หรือเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการปลอมและการใช้เอกสารปลอมในการขอใช้บัตร และ/หรือการกระทำอันมีลักษณะฟอกเงิน) หรือเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

(ฉ) ผู้ถือบัตรถูกฟ้องในคดีแพ่ง หรือคดีล้มละลาย หรือถูกกล่าวหาเป็นคดีอาญา หรือเป็นบุคคลที่ถูกหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานที่มีอำนาจมีคำสั่งให้ยึด/อายัดทรัพย์ หรือมีพฤติกรรมอันถือได้ว่าเป็นการฉ้อฉลบริษัทหรือสถาบันการเงินอื่น

(ช) ผู้ถือบัตรเสียชีวิต สาบสูญ หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ หรือตกเป็นบุคคลล้มละลายตามคำพิพากษา ตามแต่กรณี

(ซ) ผู้ถือบัตรไม่แสดงหรือไม่สามารถแสดงหลักฐานเงินได้ขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกำหนดภายในระยะเวลาที่บริษัทกำหนด

(ฌ) เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย กฎกระทรวง และ/หรือประกาศของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญแก่การประกอบกิจการของบริษัทและ/หรือการให้บริการของบริษัทตามสัญญาฉบับนี้หรือบริษัทตัดสินใจยกเลิกการให้บริการบัตรเครดิตตามสัญญานี้

(ญ) ในกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่มียอดคงค้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่ายบัญชีของผู้ถือบัตร ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ไม่ได้มีการติดต่อกับบริษัท และ/หรือบริษัทไม่สามารถติดต่อผู้ถือบัตรได้(กรณีใดกรณีหนึ่ง) เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน

(ฎ) กรณีอื่นๆ ตามที่บริษัทจะประกาศให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่บัตรหลักถูกระงับหรือถูกยกเลิก (รวมถึงกรณีที่ไม่ได้รับการต่ออายุบัตร) จะมีผลทำให้บัตรเสริมถูกระงับและ/หรือถูกยกเลิกพร้อมกันกับบัตรหลักทันที

2.3 ในระหว่างที่มีเหตุแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น (นอกเหนือจากสิทธิในการลดวงเงิน พิจารณาไม่ต่ออายุบัตร ระงับสิทธิการใช้ และ/หรือยกเลิกหรือเพิกถอนการเป็นผู้ถือบัตรเมื่อเกิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งตามที่ระบุในข้อ 2.2 ข้างต้นแล้ว) บริษัทขอสงวนสิทธิในการยกเลิกสิทธิพิเศษหรือสิทธิประโยชน์ใดๆ ที่ได้ให้กับผู้ถือบัตร (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีและ/หรือกรณีการที่ผู้ถือบัตรได้รับอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราพิเศษ) โดยเมื่อมีเหตุแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญาเหตุใดเหตุหนึ่งเกิดขึ้น บริษัทสงวนสิทธิที่จะเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อพิเศษที่ผู้ถือบัตรได้รับให้เป็นอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราสูงสุดที่บริษัทสามารถเรียกเก็บได้ในขณะนั้น (ในขณะทำสัญญานี้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 15 ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี) จนกว่าแห่งการผิดสัญญาหรือเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญานั้นจะได้ถูกแก้ไข โดยไม่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและ/หรือค่าธรรมเนียมที่บริษัทต้องแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้า

2.4 บริษัทมีสิทธิที่จะโอนสิทธิหน้าที่และผลประโยชน์ใดๆ ตามสัญญาฉบับนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมใดๆ จากผู้ถือบัตร ทั้งนี้บริษัทจะแจ้งการโอนเป็นหนังสือไปยังผู้ถือบัตร

2.5 บริษัทมีสิทธิเปลี่ยนแปลงงวดบัญชีของผู้ถือบัตร โดยจะแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และให้ถือว่าหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรนั้นถึงกำหนดชำระตามที่ระบุไว้ในใบแจ้งยอดบัญชีโดยไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่

2.6 บริษัทสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและเงื่อนไขของการใช้สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียม ค่าบริการต่างๆ ได้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน โดยบริษัทจะแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบโดยปิดประกาศที่สำนักงานหรือสาขาของบริษัท หรือทาง www.krungsricard.com ล่วงหน้าก่อนจะถือปฏิบัติ ไม่น้อยกว่าสามสิบ (30) วัน เว้นแต่ในกรณีเร่งด่วน บริษัทจะแจ้งให้ทราบทางจดหมายหรือประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันภาษาไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ด (7) วัน และแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษรให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดและเงื่อนไขฉบับนี้และผู้ถือบัตรตกลงผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขใหม่ที่แจ้งให้ทราบแล้วโดยไม่ต้องทำเอกสารหลักฐานใดๆ ให้แก่บริษัทอีกทั้งสิ้น

2.7 การล่าช้าหรืองดเว้นใดๆ ในการใช้สิทธิของบริษัทตามกฎหมาย หรือตามข้อกำหนดและเงื่อนไขนั้น ไม่ถือว่าบริษัท สละสิทธิหรือให้ความยินยอมในการดำเนินการใดๆ แก่ผู้ถือบัตรแต่ประการใด

3. ค่าธรรมเนียมการใช้บัตร
ผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้

3.1 การใช้บัตรเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าหรือใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ แทนการชำระเงินสด ผู้ถือบัตรตกลงที่จะชำระคืนให้แก่บริษัทพร้อมกับค่าธรรมเนียม (ถ้ามี) โดยที่ยอดชำระขั้นต่ำในแต่ละงวดต้องไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของยอดสินเชื่อบัตรเครดิตคงค้างที่ต้องชำระหรือไม่ต่ำกว่าอัตราที่บริษัทประกาศใช้ ณ ขณะนั้นแล้วแต่ยอดใดจะมากกว่า

3.2 ในกรณีผู้ถือบัตรไม่สามารถชำระเงินครบถ้วนเต็มจำนวนตามใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตในคราวเดียวกันภายในวันที่ถึงกำหนดชำระ ถือว่าผู้ถือบัตรขอผ่อนเวลาการชำระหนี้ส่วนที่เหลือโดยตกลงที่จะชำระ ก) ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมในยอดหนี้ทั้งจำนวนโดยคิดคำนวณจากวันที่มีการบันทึกรายการ/วันที่ได้รับเงินต้น (ตามแต่กรณี) จนถึงวันที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้บางส่วน และ ข) ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในยอดหนี้ค้างชำระที่เหลืออยู่ ทั้งนี้ สำหรับอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมนั้น ให้เป็นไปตามอัตราที่บริษัทกำหนด ทั้งนี้ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามที่กฎหมายกำหนดในขณะนั้น (ในขณะทำสัญญานี้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 15 ต่อปี และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี) โดยบริษัทจะคำนวณดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมดังกล่าว นับจากวันที่บริษัทจ่ายเงินให้ร้านค้าจนถึงวันที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้ครบถ้วน (ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินรวมกันเรียกว่า “ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ”)

3.3 กรณีที่ ผู้ถือบัตรทำธุรกรรมใดๆ ที่เข้าลักษณะการผ่อนชำระเงินต้นที่ใช้จ่ายผ่านบัตร (หรือเบิกถอนผ่านบัตร)เป็นรายงวดตามจำนวนเงินและจำนวนงวดที่ตกลงกับบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าจำนวนเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระแต่ละงวดตามที่บริษัทแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบนั้นเป็นการคำนวณเบื้องต้นโดยใช้อัตราดอกเบี้ย/ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินแบบคงที่เพื่อความสะดวกในการคำนวณหาจำนวนยอดเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระต่อเดือน ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทใช้หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าธรรมเนียมสินเชื่อแบบลดต้นลดดอก หากผู้ถือบัตรมีการชำระเงินงวดหนึ่งงวดใดน้อยหรือมากกว่าจำนวนที่ระบุข้างต้นและ/หรือมีการชำระไม่ตรงเวลาที่กำหนดจะไม่กระทบจำนวนยอดเงินที่จะชำระในแต่ละงวด (ยกเว้นงวดสุดท้าย) แต่จะมีผลให้จำนวนยอดเงินที่ผู้ถือบัตรต้องชำระในงวดสุดท้ายเพิ่มขึ้นหรือลดลง (ตามแต่กรณี) และ/หรืออาจทำให้จำนวนงวดที่ต้องชำระลดลงหากมีการชำระค่างวดเกินกว่าจำนวนที่กำหนดในแต่ละงวด

3.4 กรณีที่ผู้ถือบัตรได้รับค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราพิเศษต่ำกว่าอัตราปกติที่ระบุในข้อ 3.2 ข้างต้นในการทำ ธุรกรรมต่างๆ รวมถึง (ก) การผ่อนชำระสินค้า บริการหรือเงินสดไม่ว่าในรูปแบบใด และ/หรือ (ข) การโอนยอดคงค้างชำระเพื่อผ่อนชำระ หากผู้ถือบัตรต้องการชำระเงินคงค้างที่เกิดจากรายการดังกล่าวทั้งหมดในคราวเดียวก่อนกำหนดระยะเวลาที่ตกลงไว้กับบริษัท บริษัทสงวนสิทธิที่จะปรับค่าธรรมเนียมสินเชื่อพิเศษดังกล่าวกลับมาเป็นอัตราค่าธรรมเนียมสินเชื่อในอัตราปกติตามข้อ 3.2 โดยจำนวนค่าธรรมเนียมสินเชื่อที่ผู้ถือบัตรต้องชำระให้กับบริษัทจะเท่ากับผลต่างของ

(1) จำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินทั้งหมดในอัตราสูงสุดที่บริษัทสามารถคิดได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนดบนยอดเงินต้นทั้งหมดที่ผู้ถือบัตรขอใช้โดยคำนวณนับจากวันที่ผู้ถือบัตรได้รับเงินต้นหรือวันที่มีการบันทึกรายการ (ตามแต่กรณี) จนถึงวันที่ผู้ถือบัตรทำการขอชำระคืนทั้งหมด ลบด้วย

(2) จำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินที่ผู้ถือบัตรได้ชำระให้แก่บริษัททั้งหมดแล้วจนถึงวันก่อนวันที่ผู้ถือบัตรจะทำการชำระเงินต้นทั้งหมดคืนก่อนระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม เมื่อรวมจำนวนดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินทั้งหมดที่ผู้ถือบัตรต้องชำระจะไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่บริษัทสามารถคิดได้ตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

3.5 กรณีที่ผู้ถือบัตรชำระหนี้ตามบัตรโดยการใช้เช็ค และปรากฏว่าเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้ถือบัตรตกลงเสียค่าปรับกรณีเช็คคืนในอัตราที่บริษัทกำหนด แต่ไม่เกินอัตราสูงสุดที่บริษัทจะเรียกเก็บได้ตามกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน

3.6 ผู้ถือบัตรตกลงที่จะชำระค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับบัตรตามที่ได้มีการระบุไว้ในใบสมัคร (หรือที่จะได้มีการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมในภายหน้า) ให้กับบริษัท (ถ้ามี) ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาต ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรรับทราบว่าบริษัทจะทำการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปีตามอัตราที่ระบุในตารางค่าธรรมเนียมจากผู้ถือบัตรในกรณีที่ผู้ถือบัตรไม่มียอดคงค้าง ไม่มีค่าใช้จ่ายผ่ายบัญชีของผู้ถือบัตร ไม่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ไม่ได้มีการติดต่อกับบริษัท และ/หรือบริษัทไม่สามารถติดต่อผู้ถือบัตรได้(กรณีใดกรณีหนึ่ง) เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน

3.7 นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมตามข้อ 3.6 แล้ว ในการใช้บัตรชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการรวมถึงการเบิกเงินสดนั้น ในกรณีที่การทำรายการต่างๆ ดังกล่าวมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายโดยผู้ประกอบการหรือร้านค้าโดยทำการเรียกเก็บผ่านทางบัญชีบัตร ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าผู้ถือบัตรได้รับทราบถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ณ ขณะทำรายการหรือใช้บัตร และตกลงที่จะชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ดังกล่าวที่เกิดขึ้น

3.8 หากมีการติดตามทวงถามหนี้อันเกิดจากการใช้บัตร ผู้ถือบัตรตกลงรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้บริษัทเต็มตามจำนวนซึ่งรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีตามกฏหมาย ค่าทนายความ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ในการที่บริษัทจะใช้สิทธิตามกฎหมายบังคับให้ผู้ถือบัตรชำระหนี้ตามความในสัญญานี้

4. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการซื้อสินค้า/บริการแบบผ่อนชำระ
เว้นแต่จะตกลงเป็นอย่างอื่น ข้อกำหนดและเงื่อนไขนี้ใช้บังคับกับผู้ถือบัตรที่ซื้อสินค้าและ/หรือชำระค่าบริการแบบผ่อนชำระเป็นงวดๆ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญานี้

4.1 ผู้ถือบัตรอาจใช้บัตรซื้อสินค้าและ/หรือใช้บริการจากสถานประกอบการ และ/หรือร้านค้าที่ร่วมรายการ (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “ร้านค้า”) แบบผ่อนชำระ โดยผู้ถือบัตรตกลงที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(ก) สินค้าและ/หรือบริการนั้นจะต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าที่บริษัทและ/หรือร้านค้ากำหนด

(ข) บริษัทจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดำเนินการสำหรับสินค้าหรือบริการบางประเภท (ถ้ามี) และ/หรือค่าธรรมเนียมสินเชื่อซึ่งจะคำนวณระยะเวลาและเงื่อนไขที่ตกลงกันซึ่งเมื่อรวมกับค่าสินค้าหรือบริการแล้วจะเป็นยอดเงินทั้งหมดที่ผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตรจะต้องผ่อนชำระ

(ค) ผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตรตกลงผ่อนชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการเป็นรายงวดตามที่ตกลงกับบริษัทและ/หรือร้านค้า ทั้งนี้ จำนวนงวดการชำระและ/หรือจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระในงวดสุดท้ายอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับจำนวนเงินและระยะเวลาในการชำระเงินในแต่ละงวดของผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตร

(ง) ในการซื้อสินค้าหรือใช้บริการแต่ละคราว ผู้ถือบัตรจะต้องลงลายมือชื่อในเอกสารเอกสารหรือบนเครื่องรับลายเซนต์ (Electronic Sign Pad) หรืออุปกรณ์อื่นใดตามแบบที่บริษัทกำหนดเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการซื้อสินค้า หรือใช้บริการโดยการใช้สินเชื่อตามสัญญาฉบับนี้

(จ) ผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตรตกลงให้บริษัทชำระค่าสินค้า และ/หรือบริการให้แก่ผู้ขายสินค้าและ/หรือผู้ให้บริการแทนผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตร และให้ถือว่าผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตรได้รับเงินต้น/สินเชื่อแล้วโดยสมบูรณ์เมื่อบริษัทชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายสินค้า และ/หรือผู้ให้บริการ โดยให้ถือว่าหลักฐานการจ่ายเงินให้แก่ผู้ขายสินค้าและ/หรือผู้ให้บริการเป็นหลักฐานแห่งการใช้เงินสินเชื่อโดยชอบของผู้สมัครและ/หรือผู้ถือบัตร

4.2 ผู้ถือบัตรต้องแสดงบัตรต่อพนักงานของร้านค้านั้น และลงลายมือชื่อในเอกสารการขายหรือการให้บริการ(Sales Slip) หรือบนเครื่องรับลายเซนต์ (Electronic Sign Pad) หรืออุปกรณ์อื่นใดเพื่อเป็นหลักฐานในการใช้บัตรแทนการชำระเงินทุกครั้ง

4.3 ภายใต้หลักเกณฑ์ในข้อ 3.3 ในกรณีที่ผู้ถือบัตรต้องการชำระค่างวดสินค้าที่ผ่อนชำระในคราวเดียว ผู้ถือบัตรจะต้องแจ้งให้บริษัททราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 รอบบัญชี และจะต้องชำระเงินที่คงค้างทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยและ/หรือค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสำหรับงวดผ่อนชำระที่เหลือทั้งหมด

4.4 บริษัทไม่รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องของสินค้าใดๆ ซึ่งผู้ถือบัตรซื้อ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนหรือคืนสินค้า ผู้ถือบัตรตกลงที่จะปฏิบัติตามระเบียบและหรือข้อกำหนดในการเปลี่ยนหรือคืนสินค้าของร้านค้าหรือสถานประกอบการนั้นๆ

4.5 ผู้ถือบัตรอาจทำรายการผ่อนชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการผ่านทางโทรศัพท์ได้ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริษัท ทั้งนี้ เว้นแต่ข้อกำหนดและเงื่อนไขในเรื่องดังกล่าวจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ผู้ถือบัตรตกลงว่าให้นำข้อกำหนดตามข้อ 4 และข้อ 5 ของสัญญานี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม

5. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บริการและธุรกรรมทางโทรศัพท์

5.1 ผู้ถือบัตรสามารถใช้รหัสประจำตัวของผู้ถือบัตร ซึ่งใช้กับบัตร หรือที่ได้รับแจ้งจากบริษัท หรือที่จะได้มีการเปลี่ยนแปลงในภายหน้า ในการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ของบริษัท ทั้งนี้ผู้ถือบัตรสัญญาว่าจะรักษารหัสดังกล่าวไว้เป็นความลับแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากผู้ถือบัตรประสงค์จะเปลี่ยนรหัสดังกล่าวก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้บริษัททราบ

5.2 ผู้ถือบัตรตกลงยินยอมรับผิดชอบในการกระทำใดๆ ที่ดำเนินการผ่านบริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์โดยใช้รหัสประจำตัวของผู้ถือบัตรและ/หรือที่ได้ทำผ่านโทรศัพท์โดยการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัท (ซึ่งจะได้มีการตรวจสอบยืนยันข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือบัตร) รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงการขอเบิกใช้เงินสดล่วงหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคล โดยให้ถือว่าเมื่อได้ทำธุรกรรมหรือคำร้องขอใดๆ แล้วให้มีผลผูกพันผู้ถือบัตรโดยไม่อาจเพิกถอนได้เว้นแต่จะทำเป็นหนังสือยืนยันการเพิกถอนธุรกรรมนั้นๆ และให้ผลแห่งการกระทำใดๆ ที่กระทำผ่านทางโทรศัพท์มีผลผูกพันทั้งผู้ถือบัตรหลักและบัตรเสริมทุกประการ

5.3 ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับว่าบรรดาคู่มือวิธีการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริการดังกล่าว ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะนี้ หรือที่จะมีต่อไป (หรือแก้ไข) ในภายหน้าซึ่งบริษัทได้มอบหรือจัดส่งให้แก่ผู้ถือบัตร รวมทั้งคำสั่ง คำแนะนำ คำตอบรับหรือธุรกรรมใดๆ ทางเครื่องโทรศัพท์ซึ่งผู้ถือบัตรใช้ในการดำเนินการต่างๆ นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดและเงื่อนไขตามสัญญานี้ด้วย

5.4 ผู้ถือบัตรตกลงชำระค่าธรรมเนียมการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ (ถ้ามี) ตามกำหนดเวลาและอัตราที่บริษัทกำหนด โดยบริษัทสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมการใช้บริการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ตามอัตราที่บริษัทกำหนดเมื่อใดก็ได้ โดยบริษัทจะดำเนินการแจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน

5.5 ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมใดๆ ผ่านทางโทรศัพท์ (รวมถึงการติดต่อใดๆ กับบริษัทผ่านทางโทรศัพท์) นั้นอาจมีการบันทึกเสียงหรือบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการตรวจสอบหรือใช้เป็นหลักฐาน โดยผู้ถือบัตรตกลงและยินยอมให้บริษัทสามารถบันทึกเสียงและข้อมูลดังกล่าวได้และสามารถให้ใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานอ้างอิงในการทำธุรกรรมใดๆ ระหว่างบริษัทกับผู้ถือบัตรโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือบัตรอีก

6. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรกับเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM)

6.1 ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรไปใช้บริการต่างๆ ผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ของธนาคารพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศตามแต่คุณสมบัติของแต่ละประเภทบัตรที่บริษัทกำหนด ผู้ถือบัตรต้องใช้รหัสประจำตัว (PIN) ที่บริษัทออกให้ (หรือที่ผู้ถือบัตรจะได้เปลี่ยนแปลงในภายหลังเอง) ประกอบการใช้บัตรผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้ถือบัตรสัญญาว่าจะรักษารหัสดังกล่าวไว้เป็นความลับแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น หากผู้ถือบัตรประสงค์จะเปลี่ยนรหัสดังกล่าวก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้บริษัททราบ

6.2 ผู้ถือบัตรจะใช้บัตรทำรายการต่างๆ ได้ไม่เกินจำนวนครั้ง และจำนวนเงินที่บริษัทกำหนด และกรณีการใช้บริการผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) หากผู้ถือบัตรกดรหัสผิดเกินกว่าจำนวนที่ผู้ให้บริการเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) แต่ละรายกำหนด ผู้ถือบัตรจะไม่สามารถทำรายการใดๆ ผ่านบัตร ได้อีก จนกว่าผู้ถือบัตรติดต่อกับบริษัท

6.3 ในการใช้บัตรเพื่อเบิกเงินสด ผู้ถือบัตรตกลงยอมผูกพันตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ตามสัญญานี้ และให้ถือว่า (1) ใบบันทึกรายการดังกล่าว และ/หรือ (2) ข้อมูลที่บริษัทได้รับจากระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารเจ้าของเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) เป็นหลักฐานการได้รับเงินของผู้ถือบัตรตามสัญญาฉบับนี้แล้ว

6.4 ในการทำธุรกรรมผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) อาจจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บริการโดยสถาบันการเงินผู้ให้บริการเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนั้นผู้ถือบัตรควรศึกษารายละเอียดค่าธรรมเนียมดังกล่าวก่อนทำรายการ โดยบริษัทจะถือว่าในการทำรายการของผู้ถือบัตรนั้น ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบในค่าธรรมเนียมดังกล่าวและผู้ถือบัตรตกลงยินยอมชำระค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกี่ยวกับการใช้บริการผ่านเครื่องฝาก-ถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และตกลงยินยอมให้บริษัทหักเงินจากบัตรเครดิตของผู้ถือบัตรได้ตามอัตราและกำหนดเวลาที่บริษัทกำหนด

7. ข้อกำหนดและเงื่อนไขการทำธุรกรรมและ/หรือการใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท

7.1 ผู้ถือบัตรสามารถใช้บริการบางประเภทผ่านทางเว็บไซต์ของทางบริษัท (ตามที่มีให้บริการอยู่ ณ ขณะใดขณะหนึ่ง) ได้โดยทำการลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท โดยผู้ถือบัตรจะต้องใช้รหัสประจำตัวที่ได้รับจากการลงทะเบียน (หรือที่ผู้ถือบัตรเป็นผู้กำหนด) ในการทำธุรกรรมหรือใช้บริการต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท

7.2 ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมและ/หรือใช้บริการใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท ผู้ถือบัตรตกลงยอมรับและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้เว็บไซต์ดังกล่าวทุกประการ และให้ถือว่าการกระทำดังกล่าวมีผลผูกพันผู้ถือบัตรตามสัญญาฉบับนี้แล้วโดยไม่จำต้องทำเป็นเอกสารลงลายมือชื่อของผู้ถือบัตรอีก

7.3 ผู้ถือบัตรรับทราบว่าในการทำธุรกรรมและ/หรือใช้บริการใดๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทนั้น อาจมีการบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมดังกล่าวเพื่อใช้ในการตรวจสอบและสามารถให้ใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานอ้างอิงในการทำธุรกรรมใดๆ ระหว่างบริษัทกับผู้ถือบัตรโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ถือบัตรอีก

8. ข้อกำหนดและเงื่อนไขเกี่ยวกับคะแนนสะสมและการแลกของรางวัล

8.1 ผู้ถือบัตรตกลงและรับทราบว่าบริษัทอาจจัดให้มีรายการคะแนนสะสม หรือรายการผลประโยชน์เป็นครั้งคราวอันเนื่องมาจากการใช้บัตรของผู้ถือบัตร ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของรายการนั้นๆ ตามที่บริษัทจะได้แจ้งให้ผู้ถือบัตรทราบ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรตกลงผูกพันตามข้อกำหนดต่างๆ ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องและให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาฉบับนี้

8.2 ผู้ถือบัตรตกลงว่าบรรดาสิทธิพิเศษใดๆ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงสิทธิพิเศษจากรายการส่งเสริมการขาย รายการคะแนนสะสม หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ที่บริษัทจะจัดให้กับผู้ถือบัตรนั้น นอกเหนือจากที่ได้มีการระบุไว้ในเงื่อนไขของรายการนั้นๆ ผู้ถือบัตรตกลงว่าบริษัทมีสิทธิที่จะมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ดังกล่าวให้กับผู้ถือบัตรเฉพาะผู้ที่บัญชียังไม่ถูกระงับหรือยกเลิก มีประวัติการชำระเงินดี และ/หรือไม่ได้มีการทำผิดข้อกำหนดและเงื่อนไขใดๆ ตามสัญญานี้เท่านั้น

สัญญาฉบับนี้อยู่ภายใต้บังคับและตีความตามกฎหมายของประเทศไทย ในกรณีที่มีการจัดทำขึ้นทั้งฉบับภาษาไทยและฉบับภาษาอังกฤษ หากมีข้อความขัดแย้งกัน ให้ใช้สัญญาฉบับภาษาไทยเป็นหลักในการบังคับใช้และตีความ